ก็แค่ผู้ชายธรรมดา

รูปภาพของฉัน
มองโลกที่มันเป็นไป แล้วย้อนกลับมามองตัวเราที่มันผ่านมา

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

..สำนึกใน พระมหากรุณาธิคุณ..

.."ค่ำคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ ทุกๆคน!!"..
นำมาเผยแพร่ ประกอบภาพโดย @admin A
“ท่ามกลางทะเลทุกข์
การโผล่ศีรษะขึ้นมา......หายใจบ้าง
ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดอะไร” นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์

..บทความ ที่อยากให้อ่าน และคิดเชิงวิเคราะห์ตาม
การไม่ยอมก้าวขึ้นจาก ทะเลทุกข์เลยต่างหาก
ที่อาจจะไม่ได้เป็นผลดี กับจิตใจของตัวเองนัก

เส้นใยบางๆไม่เหมือนกัน ที่ต้องระวัง
แต่ก็ไม่ควรที่ จะตัดสินกัน

ความพร้อมของ สภาวะทางอารมณ์
ของแต่ละคน ในแต่ละจังหวะเวลา
ย่อมไม่เหมือนกัน

เพราะบางจังหวะ
บางคนกำลังโผล่ ขึ้นมาหายใจ
เพราะทนไม่ไหว กับทะเลทุกข์
เป็นจังหวะเดียวกัน กับที่อีกคน
กำลังดำดิ่ง ลงไปลึก

คนหลังก็อาจจะเข้าใจ คนแรกนั้นผิดไป

แน่นอนว่า
หัวใจต้องมี ช่วงเปราะบาง
เพื่อที่จะ เข้มแข็งได้มากขึ้น

เวลาที่รู้สึกเศร้า ก็ควรจะต้องเศร้า
ต้องมีน้ำตา ต้องร้องไห้

จังหวะไหนเรา ควรที่จะดำดิ่งลงลึก
จังหวะไหนที่เรา ควรจะโผล่ขึ้นมาหายใจ
เราจะรู้เอง
..........
ถ้าเราตั้งใจ “ฟังเสียงหัวใจ” ของเรา

.."การแสดง ความรัก ความอาลัย
ต่อพระองค์ท่าน เป็นหน้าที่ที่พึงปฏิบัติ"..

แต่พระองค์ท่าน คงไม่ปรารถนาให้พวกเรา
“จมทุกข์” จน “หายใจไม่ออก”

และที่สำคัญที่สุด
"พระองค์ท่านยิ่งไม่ปรารถนา
ให้พวกเรา ทะเลาะกันอีก" แน่นอนครับ

Cr มหัศจรรย์แห่งการเขียน

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

"คุณไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนอดีตได้ แต่สิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนได้คืออนาคตเพื่อที่จะเป็นอดีตที่ดีกว่า" ^_<*

..........หากรู้จักมองชีวิตให้ครบทุกด้าน
กาลเวลาที่เราสมมุติว่าเป็นอดีตหรือปัจจุบัน
..........ย่อมเป็นครูสอนชีวิตให้มีคุณค่าและสามารถฟ้องอนาคตข้างหน้า
ว่า จะเป็นเช่นไรได้ด้วยภาวะที่ลงตั

..........คนเรามักมีภาพของความรู้สึกดีๆ ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของตัวเองเสมอ
อาจเป็นความรู้สึกพึงใจที่เล็กๆ กระทั่งเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่เคยสัมผัส
..........แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานเพียงใด แต่ความทรงจำนั้นก็ไม่มีวันเลือนหายไป
จากใจซึ่งถูกเก็บไว้ในอดีตของวันวาน

.............ทว่าอดีตก็เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้ายเพียง ใด
ก็ชื่อว่าเป็นประสบการณ์ที่ชีวิตได้ล่วงเลยผ่านมา
......แต่คนเรากลับชอบที่จะรื้อฟื้นความทรงจำเหล่านั้นเสมอ
จึงเกิดภาพซ้อนที่ทำให้ติดอยู่ในความทรงจำทั้งเรื่องที่ดีและร้ายคละเคล้ากันเรื่อยมา

..........บ้างก็คิดถึงสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดี บ้างก็จมอยู่กับความหมองเศร้า
ที่ไม่รู้ว่าจะให้สลายไปจากใจได้อย่างไร อดีตจึงมีอิทธิพลสำหรับคนที่รู้เท่าไม่ทัน
.......ทำให้เจ้าของชีวิตต้องจมอยู่กับความรู้สึกนั้น

.........แต่ปราชญ์ทั้งหลายกลับเชิญชวนให้คนเราหันกลับมาทำความเข้าใจชีวิต
ในปัจจุบันเป็นหลัก เพื่อให้มีเวลาทำความรู้จักกับความจริงที่มี
และเข้าใจภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรู้เท่าทัน
.........โดยไม่ยึดติดกับภาพเดิมๆที่มีอยู่อีกต่อไป เพราะอดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
ส่วนอนาคตก็เป็นภาวะที่ไปยังไม่ถึง ทุกความคิด
และการกระทำจึงควรยุติอยู่ที่ปัจจุบันเป็นสำคัญ

..........แต่ใช่ว่าความทรงจำที่ผ่านมาจะเลวร้ายเสียทีเดียว
เพราะถ้ารู้จักใช้อดีตที่ผ่านมาเป็นครูสอนชีวิตให้ฉลาดขึ้น
.........อดีตนั้นก็สามารถก่อเป็นความงามได้เช่นกัน
เพราะเมื่อไม่สามารถลบล้างอดีตได้ เราก็ควรเรียนรู้ชีวิตผ่านอดีตนั้น
.........โดยใช้เป็นอุปกรณ์ในการสอนปัจจุบันที่ประสบอยู่แต่ละขณะให้ดีขึ้น
เป็นการใช้ปัจจุบันเป็นตัวการแก้ไขข้อบกพร่องในวันวานที่ผ่านมา
เพื่อให้ความทรงจำเหล่านั้นมีชีวิตจริงขึ้นมาได้

........ถ้าอดีตที่ผ่านมาเป็นความทรงจำที่เลวร้าย
อาจจะเกิดจากความคิดและการกระทำที่ไม่เป็นดังใจหวัง
........เราก็ใช้ปัจจุบันที่มีแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้เป็นความถูกต้อง

.............หากเป็นอดีตที่ดีงามในความทรงจำ ทุกอย่างที่ผ่านมาช่างก่อ
ให้เกิดคุณค่าต่อชีวีที่มีอยู่ ก็ให้เอาอดีตเหล่านั้นมาสอนปัจจุบันให้รู้จัก
.............ต่อยอดสิ่งที่ดีนั้นไว้ มิใช่ทิ้งขว้างให้จากไปโดยไม่รู้จักใส่ใจ

..........เพราะหลายครั้งจะเห็นได้ว่าคนเราเวลาทำอะไรในปัจจุบันที่ขาดหลัก
และหลงลืมอดีตที่ดีงามของตน สุดท้ายเส้นทางสายใหม่ที่คิดว่าจะไฉไลกว่าเดิม
ก็เต็มไปด้วยขวากหนามที่คอยทิ่มแทงให้เจ็บตัวอยู่เรื่อยมา

................." ความสุขที่หายไปในชีวิตเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา
เราตามเก็บรายละเอียดเหล่านั้นคืนได้หรือยังในปัจจุบัน.... ?................."

...........ดังนั้น เมื่อปรารถนาให้ความสุขกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
เราจึงต้องเรียนรู้การตามเก็บความสุขด้วยความเข้าใจ ใส่ใจในรายละเอียด
เพิ่มมากขึ้น และเรียนรู้ที่จะมองความสุขให้รอบด้านด้วยปัญญาที่มาจากความเข้าใจ

.........เพราะหากรู้จักมองชีวิตให้ครบทุกด้าน
กาลเวลาที่เราสมมุติว่าเป็นอดีตหรือปัจจุบันย่อมเป็นครูสอนชีวิตให้มีคุณค่า
และฟ้องอนาคตข้างหน้าว่าจะเป็นเช่นไรได้ด้วยภาวะที่ลงตัว

........อดีตที่เลวร้ายหากไม่ได้รับการแก้ไข
ย่อมฟ้องปัจจุบันว่าจะประสบกับความหมองเศร้าทวีคูณ
........ปัจจุบันที่ไร้ค่า ย่อมฟ้องความไร้ค่าในอนาคตเช่นกัน
อดีตที่สวยงามย่อมต่อยอดเป็นความดีได้ในปัจจุบัน
........ปัจจุบันที่เปี่ยมด้วยคุณค่าแห่งชีวี
ย่อมเป็นอาภรณ์ฟ้องอนาคตที่จะพึงมีให้งดงามตลอดไป

..........ด้วยเหตุนี้แม้กาลเวลาจะดำรงอยู่
บนความไม่แน่นอนของชีวิตเพียงใด
แต่เราก็สามารถที่จะเลือกได้ว่า ...

..........จะให้ชีวิตที่ผ่านมาเป็น ครูสอนอะไร ?
จะทำปัจจุบันที่มีอยู่ส่งต่อไปสู่อนาคตอย่างไร ?
...............ความสุขที่หายไปจึงจะกลับคืนมาสู่ชีวิตของเราด้วยความลงตัว...*>_^

"You can't change the past but you
can change the future into a better past!!!"

"คุณไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนอดีตได้
แต่สิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนได้คืออนาคตเพื่อที่จะเป็นอดีตที่ดีกว่า" ^_<*

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

สุดยอดแฮกเกอร์ 10 อันดับของโลก

คิดว่าใครที่ทำงานทางด้านคอมพิวเตอร์ คงจะคุ้นกับคำว่าแฮกเกอร์เป็นอย่างดี(หรือว่าบางคนอาจจะเป็นซะเอง ) ส่วนตัวเราเองรู้จักกับคำว่า แฮกเกอร์เป็นครั้งแรกก็เมื่อหลายปีมาแล้ว รู้สึกว่าจะอ่านการ์ตูนหรือนิยายวิทยาศาสตร์สักเรื่องหนึ่ง(จำชื่อไม่ได้) ในเรื่องได้อ้างถึงแฮกเกอร์คนหนึ่ง และมีคำพูดประกอบประมาณว่า พวกแฮกเกอร์นั้นมักจะเป็นพวกที่กระหายในข้อมูลเป็นอย่างมาก พวกเค้าต้องการรู้ในข้อมูลที่มากกว่าและลึกกว่าคนอื่น จึงได้ทำการแฮ็กเข้าไปในระบบเพื่อให้ได้ข้อมูลต่างๆที่ต้องการมา เราไม่ยืนยันว่า คำนิยามที่กล่าวในหนังสือเล่มนั้นถูกหรือผิด แต่เราแค่เกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างนึงว่า อะไรฟะ คนเรามันจะต้องการข้อมูลอะไรมากมายขนาดนั้น แค่ทุกวันนี้รับข้อมูลจากการอ่านหนังสือเรียน(ตอนนั้นเรียนมัธยม) ก็รับไม่ไหวอยู่แล้วเฟ้ย เวอร์ซะไม่มีคนประเภทนี้นี่
แต่พอมาถึงปัจจุบัน ในโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร เรากลับเป็นพวกที่กระหายในข้อมูลซะเอง 555(เป็นงั้นไป) เพราะข้อมูลถือเป็นสิ่งสำคัญ คนเราจะทำอะไร ถ้ามีข้อมูลอยู่ในมือมากเพียงพอก็จะทำให้ลดความผิดพลาดในการตัดสินใจลงไปได้ มาก และบางครั้งข้อมูลนั้นก็อาจเป็นประโยชน์หรือกลายเป็นเงินเป็นทองขึ้นมาถ้า รู้จักนำไปใช้(แต่ดิชั้นก็ยังทำไม่ได้ซักที ฮ่าๆ

ถึงดิฉันจะไม่เคย คิดที่จะเป็นแฮกเกอร์ แต่ก็มีความสนใจในเรื่องนี้อยู่บ้าง เพราะเรามีความรู้สึกว่า พวกนี้จริงๆแล้วเป็นพวกที่มี logic การคิดไม่เหมือนคนอื่น(จากตำราของดิชั้นเอง อย่าถือเป็นเรื่องจริงจัง) เพราะจากหลายๆนิยามที่มีคนให้ไว้ ต่างก็บอกไว้ในทำนองเดียวกันว่า พวกแฮกเกอร์นั้นมักจะเป็นบุคคลที่มีความรู้ในเรื่องระบบการทำงานของ คอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี(ถึงดีมาก) พวกเขาจะนำความรู้พื้นฐานที่คนอื่นมองว่าธรรมดามาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดแนวความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆเกิดขึ้น ซี่งเรื่องแบบนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่คิดอะไรต่างออกไปจากคนอื่น ก็คงทำไม่ได้นะเออ

ถ้าอยากรู้ว่าพวกนี้มีความคิดสร้างสรรค์อย่างไร ลองอ่านจากประวัติของ 10 สุดยอดแฮกเกอร์ระดับโลกเหล่านี้ดูสิคะ

1.Robert Tappan Morris
สิ่งที่น่าสนใจ-ชื่อในวงการของเขาคือ rtm และเป็นลูกชายของหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ใน National Computer Security Center NSA(National Security Agency–ดิฉันมักจะแอบบเรียกชื่อเล่นของหน่วยงานนี่ว่า No Such Agency อยู่บ่อยๆตามหนังสือของ Dan Brown อิอิอิ) ว่ากันว่า เครื่องมือที่เค้าใช้สมัยเป็นวัยรุ่นก็คือ แอคเคาทน์ SuperUser ของ Belle Lab
ผลงานเด่น-เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่สร้าง worm ขึ้นมาเป็นคนแรกของโลก สาเหตุทำขึ้นมาก็ไม่มีอะไรมาก ย้อนกลับไปในช่วงปี 1988 มอริสที่กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย Cornell อยู่มาวันหนึ่ง เค้าเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่า ระบบอินเตอร์เน็ตมีขนาดกว้างใหญ่แค่ไหนก็เลยสร้างเจ้า worm ขึ้นมา(ปัจจุบันมันถูกเรียกว่า MorrisWorm)แล้วปล่อยออกไปในระบบเพื่อศึกษาขนาดของระบบ แต่ปรากฎว่าเจ้า worm นี่เกิด replicate ตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้ระบบต่างๆในเครื่องคอมพิวเตอร์กว่า 6,000 เครื่องทั่วโลกเจ๊งไปซะงั้น
ปัจจุบัน-หลังจากได้รับการลงโทษไปแล้ว เค้าก็เรียนจนได้ Ph.D จาก Harvard และตอนนี้เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ MIT
2. Kevin Mitnick

สิ่ง ที่น่าสนใจ-ชื่อในวงการคือ Condor เริ่มงานมาตั้งแต่อายุ10 ขวบ โดยการ crack เว็บไซต์ North American Aerospace Defence Command พออายุ 12ก็จาะระบบ Punch Card ของ Los Angeles BusSystem ทำให้เขาสามารถขึ้นรถเมล์ได้ฟรี และเจาะเข้าไปในระบบโทรศัพท์ด้วย
ผลงาน เด่น-เขาเริ่มเป็นที่ต้องการตัวของทางการเมื่อริอ่านเจาะเข้าไปใน ระบบของ Digital Equibment Corperation เพื่อขโมย software และมีเป้าหมายที่จะเจาะเข้าไปในระบบของบริษัทเคลื่อนที่ยักษ์ใหญ่ อย่าง Nokia และ Motorolla  สาเหตุที่ถูกจับ- hack เข้าไปในเครื่องของ Tsutomu Shiomura ทำให้ Shiomura เข้าร่วมมือกับ FBI ในการตามจับตัวเค้าจนทำให้ Shiomura กลายเป็นอีกหนึ่งตำนาน White hat ในฝั่งเอเชีย

ปัจจุบัน-เขียนหนังสือเกี่ยวกับ hacker และเป็นที่ปรึกษาในด้านระบบควมปลอดภัยด้านคอมพิวเตอร์ให้กับบริษัทต่างๆ
3. Adrian Lamo

สิ่ง ที่น่าสนใจ-เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘The homeless hacker’ เพราะว่าเค้ามักจะอาศัยอยู่ในตึกร้างที่ไม่มีใครสนใจ และมักจะแฮ็กระบบผ่านทาง laptop,อินเตอร์เน็ต คาเฟ่ และตามเครื่องคอมตามห้องสมุุดสาธารณะ ผลงานเด่น-เจาะเข้าไปในระบบของ หนังสือ พิมพ์ The New York Times และเอาชื่อตัวเองเข้าไปใส่ไว้ในแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ระดับสูงของหนังสือ พิมพ์ The New York Timesและใช้บัญชีของนักเขียนชื่อดัง LexisNexisในการค้นคว้างานวิจัยจากฐานข้อมูลของ The New York Times อีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังมี Microsoft ,Yahoo , Bank of America และ CitiGroup

ปัจจุบัน-ทำงานเป็นนักข่าวและนักพูด เกี่ยวกับวงการ Hackerและพึ่งจะได้รับรางวัลนักข่าวยอดเยี่ยมมาไม่นานนี้เอง

4. Gary McKinnon - ชื่อในวงการ คือ Solo

ผล งาน-แฮ็กเข้าไปในระบบของ US Government ทั้ง U.S. Department of Defense,กลาโหม,นาวิกโยธิน และ นาซ่า เพื่อที่จะหาหลักฐานเกี่ยวกับ ประสิทธิภาพที่แท้จริงของเชื้อเพลิงในยานมนุษย์ต่างดาว!!!!
สิ่งที่น่า สนใจ-แม็คคินนอนเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาได้ซ่อนความลับเกี่ยวกับ เทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวไว้ ซึ่งเทคโนโลยีนั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาวิกฤตพลังงานของโลกได้ .เขาบอกว่าได้ทะลุทะลวงไปจนพบโครงการที่นำ เทคโนโลยีจากมนุษย์ต่างดาวมาใช้จริง อีกทั้งเขายังพบข้อมูลนักวิทยาศาสตร์รายหนึ่งของนาซาที่รายงานว่าศูนย์อวกาศ จอห์นสัน มีอุปกรณ์บันทึกภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูง เอาไว้คอยจับภาพยูเอฟโอหลังจากพบร่องรอยบนท้องฟ้า

ซึ่งแม็คคินนอนก็ จัดการล้วงข้อมูลเป็นที่เรียบร้อย แม็คคินนอนอ้างว่า สิ่งที่เค้าเห็นน่าจะเป็นดาวเทียมหรือไม่ก็ยาน อวกาศ แต่ลักษณะแบบนั้นไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนมันเหมือนกับชิ้นเหล็กท่อนใหญ่ที่ ไม่มีตำหนิใดๆ เลย และน่าจะอยู่ใต้ผืนโลก อีกทั้งไม่มีรอยต่อของวัตถุหรือหมุดยึดตัววัตถุแต่อย่างใด  นอกจากนี้เค้ายังได้พูดอีกว่า การแฮกกิงของเขานั้นทำไปตามหลัก มนุษยธรรม เพื่อต้องการหาหลักฐานเกี่ยวกับยูเอฟโอที่ถูกปกปิดไว้ และนำมาเผยแพร่สู่สาธารณชน

5.Raphael Gray - ชื่อในวงการ Curador

ผล งาน-เจาะเข้าไปใน เว็บไซต์ e-commerce ต่างๆแล้วขโมยข้อมูลหมายเลขบัตรเครดิตของลูกค้ามากว่า 26,000 หมายเลข แล้วโพสต์ขึ้นบนเว็บเพจของตนเอง สิ่งที่น่าสนใจ-เกรย์เรียกตัวเองว่า The saint(of e-commerce) เขาอ้างว่าการที่แฮ็กเข้าไปในเว็บไซต์เหล่นั้นก็เพื่อที่จะให้การช่วยเหลือ เว็บต่างๆเหล่านั้น(ช่วยยังไงมิทราบยะ) และนอกจากนี้หนึ่งในหมายเลขบัตรเครดิตที่เขา ขโมยมาก็เป็นของคนดังในโลกของไอ ที ที่มีชื่อว่า บิล เกตต์ และเกรย์ก็ได้จัดการส่งยาเม็ดไวอากร้า(!?!) ไปยังที่อยู่ของบิล เกตต์และนำมาโพสต์ลงบนเว็บไซต์อีกต่างหาก (แสบจริงๆ)
6 .John Draper – มีนามแฝงว่า Cap’n Crunch

ผล งาน-ในช่วง ทศวรรษ 1970 เขาได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งการ crack โทรศัพท์(phone phreaking) เพราะในขณะนั้น ยังเป็นยุคที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตและ PC ระบบที่ถือว่าใหญ่ที่สุดก็คือระบบโทรศัพท์และ Draper ก็ถือว่าเป็นเทพในด้านนี้

สิ่งที่น่าสนใจ-อุปกรณ์ที่ใช้ในการ crack โทรศัพท์ของDraper คือ หลอดพลาสติกที่อยู่ในกล่องซีเรียล(!?!)–ซึ่งก็คือข้าวโพดเกล็ดที่เรากินกับ นมนี่ล่ะ จากยี่ห้อ Cap’n Crunch cereal พลาสติกอันที่เค้าใช้เรียกว่า whistle หรือเครื่องเป่า ซึ่งจะทำให้เกิดคลื่นเสียงขนาด 2600 Hz ร่วมกับใช้ Bluebox ทำให้เค้าสามารถโทรศัพท์ได้ฟรี (ช่างคิดจริงๆ)  แถมๆ หน้าตาของซีเรียลยี่ห้อ Cap’n Crunch ฮ่าๆๆ อยากโพสต์ให้ดูเพราะดิฉันว่ากล่องมันน่ารักดีอ่ะ
7. Kevin Poulsen – ชื่อในวงการคือ Dark Dante

ผลงาน-บุกรุกเข้าเว็บไซต์แทบทุกประเภท ที่เด่นๆก็คือ เจาะระบบฐานข้อมูลและระบบดักฟังของของ FBI
สิ่ง ที่น่าสนใจ-เค้าเคยใช้ความสามารถพิเศษในการควบคุมระบบโทรศัพท์ของ Pacific Bellได้ เจาะเข้าไปในระบบโทรศัพท์ของสถานีวิทยุ KIIS-FM ใน LA ทำให้เค้าชนะการเล่นเกมส์และได้รางวัลมาเป็นรถ Porche!!! เอามาขับเล่นสบายใจพี่เค้าไป

ปัจจุบัน-เป็น นักข่าวอาวุโสของสำนักข่าว Wired Newsและคอยช่วยเหลือในการไล่จับพวก BlackHat คนอื่นๆ

8. Dmitri Galushkevich

ผล งาน-เป็นhacker ชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่ในเอสโทเนีย เค้ารู้สึกผิดหวังจากการที่อนุสาวรีย์บรอนซ์ของทหารรัสเซียที่เสียชีวิตใน เอสโทเนียในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองถูกย้ายที่ เลยทำhack เข้าไปโจมตีระบบของ รัฐบาล,พรรคการเมืองต่างๆ,หนังสือพิมพ์ และสถาบันเศรษฐกิจ ทำให้ทั้งประเทศตกอยู่ในสภาพ “internet gridlock”–คือทั้ง ATM,เว็บไซต์ และระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลอยู่ในสภาพที่ใช้การไม่ได้ แถมบางเว็บก็รีไดเร็คไปยังภาพของทหารโซเวียต และอ้างอิงถึง Martin Luther King เกี่ยวกับการ “ต่อต้านสิ่งชั่วร้าย”อีกต่างหาก
9. Jonathan James - ชื่อในวงการ คือ c0mrade

ผล งาน-เจาะระบบมากมาย ตั้งแต่บริษัทโทรศัพท์ BellSouthไปจนถึงหน่วยงาน DTRA ในกระทรวงกลาโหมสหรัฐ และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 1999 เขาได้ Hack เข้าไปฝังตัว Backdoor ใน Nasaซึ่งทำให้อ่านข้อมูลลับได้มากมายรวมไปถึงขโมยโปรแกรมที่ทาง Nasaพัฒนาขึ้นด้วยเงินมหาศาลถึง 1.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐไปอีกด้วยซึ่งในภายหลังทาง Nasa ต้องปิดระบบถึงสามสัปดาห์เพื่อแก้ไขทำให้สูญเสียเงินไปอีก 41,000 ดอลล่าร์สหรัฐ
สิ่งที่น่าสนใจ-ตอนที่โดนจับ James มีอายุเพียง 15 ปี(!?!) และเค้าได้ให้การกับศาลว่าแค่อยากได้โปรแกรมมาเพื่อฝึกฝีมือภาษา C ของตัวเองเท่านั้นแต่พอขโมยมาได้ ก็กลับถามว่าโปรแกรมห่วยๆนั่นมีค่าถึง 1.7ล้านดอลล่าร์เลยเหรอ(ช่างกล้า)
10.The Deceptive Duo - หรือคู่หูจอมหลอกลวง ประกอบไปด้วยสมาชิก 2 คนคือ Benjamin Stark อายุ 20 c]t Robert Lyttle อายุ 18 ปี

ผล งาน-เจาะระบบของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึง นาวิกโยธิน,นาซา,FAA(ทบวงการบินพลเรือน)และ กระทรวงกลาโหม โดยพวกเค้าให้เหตุผลว่าที่ทำไปก็เพื่อเปิดเผยความล้มเหลวของระบบรักษาความ ปลอดภัย และต้องการปกป้องประเทศจากสงครามภายหลังเหตุการณ์ 911

นี่ คือ 10 Hacker ระดับโลกที่ใช้ความรู้ของตนเองในการก่อความเสียหายให้กับระบบคอมพิวเตอร์ (แม้ว่าบางทีอาจจะเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ?) แต่ก็ยังมี hacker อีกประเภทนึงที่ใช้ความรู้ในทางที่เป็นประโยชน์ ที่เราเรียกหันว่า พวก White hat ดังตัวอย่างต่อไปนี้


1.Tsutomu Shimomura ชาวญี่ปุ่น
ผลงาน-ร่วมมือกับ John Markoffในการช่วยเหลือ FBI ไล่จับสุดยอดแฮกเกอร์ของโลก นั่นก็คือ Kevin Mitnick
สิ่ง ที่น่าสนใจ-เขาเป็นลูกชายของ Osamu Shimomura นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเคมี(ปี 2008) นอกจากนี้เค้ายังได้เขียนหนังสือเรื่อง TakeDown เป็นเรื่องราวของการไล่จับ KevinMitnick ซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง TakeDown ด้วย

2.Stephen Wozniak

สิ่งที่น่าสนใจ-เค้าคือผู้ที่ร่วมก่อตั้ง Apple Computer ผล งาน-หลังจากที่ Wozniak อ่านบทความเรื่องการเจาะระบบโทรศัพท์ ในหนังสือ Esquire (ใช่ Esquire ที่เป็นหนังสือแฟชั่นของผู้ชายรึป่าว!?) เข้าหลังจากที่คุยกับ Steve Jobs พวกเขาก็ได้คิดค้น BlueBoxเครื่องเจาะระบบโทรศัพท์ที่ทำให้สามารถ โทรทางไกลได้ฟรีๆ เท่านั้นยังไม่พอ มีครั้งหนึ่ง Steve Wozniak ได้แอบใช้เครื่อง BlueBox โทรหาพระสันตปาปาโดยปลอมตัวว่าเป็น Henry Kissingerรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐในตอนนั้นอีกด้วย (ช่างกล้า)

3.Tim Berners-Lee
สิ่งที่น่าสนใจ-เค้าคนนี้คือผู้ที่ คิดค้น www ขึ้นมา Leeเป็นลูกของสองนักคณิตศาสตร์ระดับโลก Convey และ Mary Berners-Leeซึ่งเป็นทีมสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ Manchester Mark 1เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆของโลก ในปี 2532 Tim Berners-Lee ทำงานเป็นFreeLance อยู่ที่ CERN (ศูนย์วิจัยเรื่องนิวเคลียร์ของยุโรป)ซึ่งเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ ที่สุดของยุโรปเขาได้คิดค้นระบบข้อความหลายมิติ (Hypertext) ขึ้นมา ซึ่งเมื่อนำมาผนวกเข้ากับ TCP และ DNS แล้ว มันจึงกลายมาเป็นเครือข่าย www ในปัจจุบัน (เจ๋งจริงๆ)
ปล.เว็บไซต์แรกของโลกคือ Welcome to info.cern.ch สร้างขึ้นโดย Tim Berners-Lee คนนี้นี่เอง
ผล งานทางด้าน hacker-เค้าเคยถูกจับได้ว่า hack รหัสผ่าน(acess code)เมื่อตอนเรียนอยู่ Oxford จึงทำให้ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย(ซะอย่างนั้น)

4.Richard Stallman
ผลงาน-ตอนที่ทำ งานอยู่ที่ MIT ในฐานะของ StaffComputer ทุกครั้งที่มีระบบอะไรใหม่ๆติดตั้งเข้าไปและมีรหัสผ่านกำกับอยู่ Stallman จะหาทางแฮกและปลดรหัสผ่านออกทุกครั้ง เสร็จแล้วก็ hack Printerต่อเพื่อพิมพ์ข้อความบอกคนอื่นๆว่าระบบไหนอยู่ที่ไหนปลดรหัสผ่านอะไร ไปแล้วบ้าง  สิ่งที่น่าสนใจ-ผู้ริเริ่มโครงการ GNU และมูลนิธิซอฟท์แวร์เสรีรวมไปถึงผู้ริเริ่มแนวคิดเรื่อง Copyleft และเป็นผู้ร่างสัญญาอนุญาตให้ใช้ได้ทั่วไป และต่อในภายหลังสัญญานี้ได้กลายเป็น บรรทัดฐานซอฟท์แวร์เสรีจำนวนมาก


5.Raphael Gray - ชื่อในวงการ Curador

ผล งาน-เจาะเข้าไปใน เว็บไซต์ e-commerce ต่างๆแล้วขโมยข้อมูลหมายเลขบัตรเครดิตของลูกค้ามากว่า 26,000 หมายเลข แล้วโพสต์ขึ้นบนเว็บเพจของตนเอง สิ่งที่น่าสนใจ-เกรย์เรียกตัวเองว่า The saint(of e-commerce) เขาอ้างว่าการที่แฮ็กเข้าไปในเว็บไซต์เหล่นั้นก็เพื่อที่จะให้การช่วยเหลือ เว็บต่างๆเหล่านั้น(ช่วยยังไงมิทราบยะ) และนอกจากนี้หนึ่งในหมายเลขบัตรเครดิตที่เขา ขโมยมาก็เป็นของคนดังในโลกของไอ ที ที่มีชื่อว่า บิล เกตต์ และเกรย์ก็ได้จัดการส่งยาเม็ดไวอากร้า(!?!) ไปยังที่อยู่ของบิล เกตต์และนำมาโพสต์ลงบนเว็บไซต์อีกต่างหาก (แสบจริงๆ)
6 .John Draper – มีนามแฝงว่า Cap’n Crunch

ผล งาน-ในช่วง ทศวรรษ 1970 เขาได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งการ crack โทรศัพท์(phone phreaking) เพราะในขณะนั้น ยังเป็นยุคที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตและ PC ระบบที่ถือว่าใหญ่ที่สุดก็คือระบบโทรศัพท์และ Draper ก็ถือว่าเป็นเทพในด้านนี้

สิ่งที่น่าสนใจ-อุปกรณ์ที่ใช้ในการ crack โทรศัพท์ของDraper คือ หลอดพลาสติกที่อยู่ในกล่องซีเรียล(!?!)–ซึ่งก็คือข้าวโพดเกล็ดที่เรากินกับ นมนี่ล่ะ จากยี่ห้อ Cap’n Crunch cereal พลาสติกอันที่เค้าใช้เรียกว่า whistle หรือเครื่องเป่า ซึ่งจะทำให้เกิดคลื่นเสียงขนาด 2600 Hz ร่วมกับใช้ Bluebox ทำให้เค้าสามารถโทรศัพท์ได้ฟรี (ช่างคิดจริงๆ)  แถมๆ หน้าตาของซีเรียลยี่ห้อ Cap’n Crunch ฮ่าๆๆ อยากโพสต์ให้ดูเพราะดิฉันว่ากล่องมันน่ารักดีอ่ะ
7. Kevin Poulsen – ชื่อในวงการคือ Dark Dante

ผลงาน-บุกรุกเข้าเว็บไซต์แทบทุกประเภท ที่เด่นๆก็คือ เจาะระบบฐานข้อมูลและระบบดักฟังของของ FBI
สิ่ง ที่น่าสนใจ-เค้าเคยใช้ความสามารถพิเศษในการควบคุมระบบโทรศัพท์ของ Pacific Bellได้ เจาะเข้าไปในระบบโทรศัพท์ของสถานีวิทยุ KIIS-FM ใน LA ทำให้เค้าชนะการเล่นเกมส์และได้รางวัลมาเป็นรถ Porche!!! เอามาขับเล่นสบายใจพี่เค้าไป

ปัจจุบัน-เป็น นักข่าวอาวุโสของสำนักข่าว Wired Newsและคอยช่วยเหลือในการไล่จับพวก BlackHat คนอื่นๆ

8. Dmitri Galushkevich

ผล งาน-เป็นhacker ชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่ในเอสโทเนีย เค้ารู้สึกผิดหวังจากการที่อนุสาวรีย์บรอนซ์ของทหารรัสเซียที่เสียชีวิตใน เอสโทเนียในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองถูกย้ายที่ เลยทำhack เข้าไปโจมตีระบบของ รัฐบาล,พรรคการเมืองต่างๆ,หนังสือพิมพ์ และสถาบันเศรษฐกิจ ทำให้ทั้งประเทศตกอยู่ในสภาพ “internet gridlock”–คือทั้ง ATM,เว็บไซต์ และระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลอยู่ในสภาพที่ใช้การไม่ได้ แถมบางเว็บก็รีไดเร็คไปยังภาพของทหารโซเวียต และอ้างอิงถึง Martin Luther King เกี่ยวกับการ “ต่อต้านสิ่งชั่วร้าย”อีกต่างหาก
9. Jonathan James - ชื่อในวงการ คือ c0mrade

ผล งาน-เจาะระบบมากมาย ตั้งแต่บริษัทโทรศัพท์ BellSouthไปจนถึงหน่วยงาน DTRA ในกระทรวงกลาโหมสหรัฐ และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 1999 เขาได้ Hack เข้าไปฝังตัว Backdoor ใน Nasaซึ่งทำให้อ่านข้อมูลลับได้มากมายรวมไปถึงขโมยโปรแกรมที่ทาง Nasaพัฒนาขึ้นด้วยเงินมหาศาลถึง 1.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐไปอีกด้วยซึ่งในภายหลังทาง Nasa ต้องปิดระบบถึงสามสัปดาห์เพื่อแก้ไขทำให้สูญเสียเงินไปอีก 41,000 ดอลล่าร์สหรัฐ
สิ่งที่น่าสนใจ-ตอนที่โดนจับ James มีอายุเพียง 15 ปี(!?!) และเค้าได้ให้การกับศาลว่าแค่อยากได้โปรแกรมมาเพื่อฝึกฝีมือภาษา C ของตัวเองเท่านั้นแต่พอขโมยมาได้ ก็กลับถามว่าโปรแกรมห่วยๆนั่นมีค่าถึง 1.7ล้านดอลล่าร์เลยเหรอ(ช่างกล้า)
10.The Deceptive Duo - หรือคู่หูจอมหลอกลวง ประกอบไปด้วยสมาชิก 2 คนคือ Benjamin Stark อายุ 20 c]t Robert Lyttle อายุ 18 ปี

ผล งาน-เจาะระบบของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึง นาวิกโยธิน,นาซา,FAA(ทบวงการบินพลเรือน)และ กระทรวงกลาโหม โดยพวกเค้าให้เหตุผลว่าที่ทำไปก็เพื่อเปิดเผยความล้มเหลวของระบบรักษาความ ปลอดภัย และต้องการปกป้องประเทศจากสงครามภายหลังเหตุการณ์ 911

นี่ คือ 10 Hacker ระดับโลกที่ใช้ความรู้ของตนเองในการก่อความเสียหายให้กับระบบคอมพิวเตอร์ (แม้ว่าบางทีอาจจะเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ?) แต่ก็ยังมี hacker อีกประเภทนึงที่ใช้ความรู้ในทางที่เป็นประโยชน์ ที่เราเรียกหันว่า พวก White hat ดังตัวอย่างต่อไปนี้


1.Tsutomu Shimomura ชาวญี่ปุ่น
ผลงาน-ร่วมมือกับ John Markoffในการช่วยเหลือ FBI ไล่จับสุดยอดแฮกเกอร์ของโลก นั่นก็คือ Kevin Mitnick
สิ่ง ที่น่าสนใจ-เขาเป็นลูกชายของ Osamu Shimomura นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเคมี(ปี 2008) นอกจากนี้เค้ายังได้เขียนหนังสือเรื่อง TakeDown เป็นเรื่องราวของการไล่จับ KevinMitnick ซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง TakeDown ด้วย

2.Stephen Wozniak

สิ่งที่น่าสนใจ-เค้าคือผู้ที่ร่วมก่อตั้ง Apple Computer ผล งาน-หลังจากที่ Wozniak อ่านบทความเรื่องการเจาะระบบโทรศัพท์ ในหนังสือ Esquire (ใช่ Esquire ที่เป็นหนังสือแฟชั่นของผู้ชายรึป่าว!?) เข้าหลังจากที่คุยกับ Steve Jobs พวกเขาก็ได้คิดค้น BlueBoxเครื่องเจาะระบบโทรศัพท์ที่ทำให้สามารถ โทรทางไกลได้ฟรีๆ เท่านั้นยังไม่พอ มีครั้งหนึ่ง Steve Wozniak ได้แอบใช้เครื่อง BlueBox โทรหาพระสันตปาปาโดยปลอมตัวว่าเป็น Henry Kissingerรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐในตอนนั้นอีกด้วย (ช่างกล้า)

3.Tim Berners-Lee
สิ่งที่น่าสนใจ-เค้าคนนี้คือผู้ที่ คิดค้น www ขึ้นมา Leeเป็นลูกของสองนักคณิตศาสตร์ระดับโลก Convey และ Mary Berners-Leeซึ่งเป็นทีมสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ Manchester Mark 1เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆของโลก ในปี 2532 Tim Berners-Lee ทำงานเป็นFreeLance อยู่ที่ CERN (ศูนย์วิจัยเรื่องนิวเคลียร์ของยุโรป)ซึ่งเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ ที่สุดของยุโรปเขาได้คิดค้นระบบข้อความหลายมิติ (Hypertext) ขึ้นมา ซึ่งเมื่อนำมาผนวกเข้ากับ TCP และ DNS แล้ว มันจึงกลายมาเป็นเครือข่าย www ในปัจจุบัน (เจ๋งจริงๆ)
ปล.เว็บไซต์แรกของโลกคือ Welcome to info.cern.ch สร้างขึ้นโดย Tim Berners-Lee คนนี้นี่เอง
ผล งานทางด้าน hacker-เค้าเคยถูกจับได้ว่า hack รหัสผ่าน(acess code)เมื่อตอนเรียนอยู่ Oxford จึงทำให้ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย(ซะอย่างนั้น)

4.Richard Stallman
5.Raphael Gray - ชื่อในวงการ Curador

ผล งาน-เจาะเข้าไปใน เว็บไซต์ e-commerce ต่างๆแล้วขโมยข้อมูลหมายเลขบัตรเครดิตของลูกค้ามากว่า 26,000 หมายเลข แล้วโพสต์ขึ้นบนเว็บเพจของตนเอง สิ่งที่น่าสนใจ-เกรย์เรียกตัวเองว่า The saint(of e-commerce) เขาอ้างว่าการที่แฮ็กเข้าไปในเว็บไซต์เหล่นั้นก็เพื่อที่จะให้การช่วยเหลือ เว็บต่างๆเหล่านั้น(ช่วยยังไงมิทราบยะ) และนอกจากนี้หนึ่งในหมายเลขบัตรเครดิตที่เขา ขโมยมาก็เป็นของคนดังในโลกของไอ ที ที่มีชื่อว่า บิล เกตต์ และเกรย์ก็ได้จัดการส่งยาเม็ดไวอากร้า(!?!) ไปยังที่อยู่ของบิล เกตต์และนำมาโพสต์ลงบนเว็บไซต์อีกต่างหาก (แสบจริงๆ)
6 .John Draper – มีนามแฝงว่า Cap’n Crunch

ผล งาน-ในช่วง ทศวรรษ 1970 เขาได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งการ crack โทรศัพท์(phone phreaking) เพราะในขณะนั้น ยังเป็นยุคที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตและ PC ระบบที่ถือว่าใหญ่ที่สุดก็คือระบบโทรศัพท์และ Draper ก็ถือว่าเป็นเทพในด้านนี้

สิ่งที่น่าสนใจ-อุปกรณ์ที่ใช้ในการ crack โทรศัพท์ของDraper คือ หลอดพลาสติกที่อยู่ในกล่องซีเรียล(!?!)–ซึ่งก็คือข้าวโพดเกล็ดที่เรากินกับ นมนี่ล่ะ จากยี่ห้อ Cap’n Crunch cereal พลาสติกอันที่เค้าใช้เรียกว่า whistle หรือเครื่องเป่า ซึ่งจะทำให้เกิดคลื่นเสียงขนาด 2600 Hz ร่วมกับใช้ Bluebox ทำให้เค้าสามารถโทรศัพท์ได้ฟรี (ช่างคิดจริงๆ)  แถมๆ หน้าตาของซีเรียลยี่ห้อ Cap’n Crunch ฮ่าๆๆ อยากโพสต์ให้ดูเพราะดิฉันว่ากล่องมันน่ารักดีอ่ะ
7. Kevin Poulsen – ชื่อในวงการคือ Dark Dante

ผลงาน-บุกรุกเข้าเว็บไซต์แทบทุกประเภท ที่เด่นๆก็คือ เจาะระบบฐานข้อมูลและระบบดักฟังของของ FBI
สิ่ง ที่น่าสนใจ-เค้าเคยใช้ความสามารถพิเศษในการควบคุมระบบโทรศัพท์ของ Pacific Bellได้ เจาะเข้าไปในระบบโทรศัพท์ของสถานีวิทยุ KIIS-FM ใน LA ทำให้เค้าชนะการเล่นเกมส์และได้รางวัลมาเป็นรถ Porche!!! เอามาขับเล่นสบายใจพี่เค้าไป

ปัจจุบัน-เป็น นักข่าวอาวุโสของสำนักข่าว Wired Newsและคอยช่วยเหลือในการไล่จับพวก BlackHat คนอื่นๆ

8. Dmitri Galushkevich

ผล งาน-เป็นhacker ชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่ในเอสโทเนีย เค้ารู้สึกผิดหวังจากการที่อนุสาวรีย์บรอนซ์ของทหารรัสเซียที่เสียชีวิตใน เอสโทเนียในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองถูกย้ายที่ เลยทำhack เข้าไปโจมตีระบบของ รัฐบาล,พรรคการเมืองต่างๆ,หนังสือพิมพ์ และสถาบันเศรษฐกิจ ทำให้ทั้งประเทศตกอยู่ในสภาพ “internet gridlock”–คือทั้ง ATM,เว็บไซต์ และระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลอยู่ในสภาพที่ใช้การไม่ได้ แถมบางเว็บก็รีไดเร็คไปยังภาพของทหารโซเวียต และอ้างอิงถึง Martin Luther King เกี่ยวกับการ “ต่อต้านสิ่งชั่วร้าย”อีกต่างหาก
9. Jonathan James - ชื่อในวงการ คือ c0mrade

ผล งาน-เจาะระบบมากมาย ตั้งแต่บริษัทโทรศัพท์ BellSouthไปจนถึงหน่วยงาน DTRA ในกระทรวงกลาโหมสหรัฐ และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 1999 เขาได้ Hack เข้าไปฝังตัว Backdoor ใน Nasaซึ่งทำให้อ่านข้อมูลลับได้มากมายรวมไปถึงขโมยโปรแกรมที่ทาง Nasaพัฒนาขึ้นด้วยเงินมหาศาลถึง 1.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐไปอีกด้วยซึ่งในภายหลังทาง Nasa ต้องปิดระบบถึงสามสัปดาห์เพื่อแก้ไขทำให้สูญเสียเงินไปอีก 41,000 ดอลล่าร์สหรัฐ
สิ่งที่น่าสนใจ-ตอนที่โดนจับ James มีอายุเพียง 15 ปี(!?!) และเค้าได้ให้การกับศาลว่าแค่อยากได้โปรแกรมมาเพื่อฝึกฝีมือภาษา C ของตัวเองเท่านั้นแต่พอขโมยมาได้ ก็กลับถามว่าโปรแกรมห่วยๆนั่นมีค่าถึง 1.7ล้านดอลล่าร์เลยเหรอ(ช่างกล้า)
10.The Deceptive Duo - หรือคู่หูจอมหลอกลวง ประกอบไปด้วยสมาชิก 2 คนคือ Benjamin Stark อายุ 20 c]t Robert Lyttle อายุ 18 ปี

ผล งาน-เจาะระบบของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึง นาวิกโยธิน,นาซา,FAA(ทบวงการบินพลเรือน)และ กระทรวงกลาโหม โดยพวกเค้าให้เหตุผลว่าที่ทำไปก็เพื่อเปิดเผยความล้มเหลวของระบบรักษาความ ปลอดภัย และต้องการปกป้องประเทศจากสงครามภายหลังเหตุการณ์ 911

นี่ คือ 10 Hacker ระดับโลกที่ใช้ความรู้ของตนเองในการก่อความเสียหายให้กับระบบคอมพิวเตอร์ (แม้ว่าบางทีอาจจะเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ?) แต่ก็ยังมี hacker อีกประเภทนึงที่ใช้ความรู้ในทางที่เป็นประโยชน์ ที่เราเรียกหันว่า พวก White hat ดังตัวอย่างต่อไปนี้


1.Tsutomu Shimomura ชาวญี่ปุ่น
ผลงาน-ร่วมมือกับ John Markoffในการช่วยเหลือ FBI ไล่จับสุดยอดแฮกเกอร์ของโลก นั่นก็คือ Kevin Mitnick
สิ่ง ที่น่าสนใจ-เขาเป็นลูกชายของ Osamu Shimomura นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเคมี(ปี 2008) นอกจากนี้เค้ายังได้เขียนหนังสือเรื่อง TakeDown เป็นเรื่องราวของการไล่จับ KevinMitnick ซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง TakeDown ด้วย

2.Stephen Wozniak

สิ่งที่น่าสนใจ-เค้าคือผู้ที่ร่วมก่อตั้ง Apple Computer ผล งาน-หลังจากที่ Wozniak อ่านบทความเรื่องการเจาะระบบโทรศัพท์ ในหนังสือ Esquire (ใช่ Esquire ที่เป็นหนังสือแฟชั่นของผู้ชายรึป่าว!?) เข้าหลังจากที่คุยกับ Steve Jobs พวกเขาก็ได้คิดค้น BlueBoxเครื่องเจาะระบบโทรศัพท์ที่ทำให้สามารถ โทรทางไกลได้ฟรีๆ เท่านั้นยังไม่พอ มีครั้งหนึ่ง Steve Wozniak ได้แอบใช้เครื่อง BlueBox โทรหาพระสันตปาปาโดยปลอมตัวว่าเป็น Henry Kissingerรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐในตอนนั้นอีกด้วย (ช่างกล้า)

3.Tim Berners-Lee
สิ่งที่น่าสนใจ-เค้าคนนี้คือผู้ที่ คิดค้น www ขึ้นมา Leeเป็นลูกของสองนักคณิตศาสตร์ระดับโลก Convey และ Mary Berners-Leeซึ่งเป็นทีมสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ Manchester Mark 1เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆของโลก ในปี 2532 Tim Berners-Lee ทำงานเป็นFreeLance อยู่ที่ CERN (ศูนย์วิจัยเรื่องนิวเคลียร์ของยุโรป)ซึ่งเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ ที่สุดของยุโรปเขาได้คิดค้นระบบข้อความหลายมิติ (Hypertext) ขึ้นมา ซึ่งเมื่อนำมาผนวกเข้ากับ TCP และ DNS แล้ว มันจึงกลายมาเป็นเครือข่าย www ในปัจจุบัน (เจ๋งจริงๆ)
ปล.เว็บไซต์แรกของโลกคือ Welcome to info.cern.ch สร้างขึ้นโดย Tim Berners-Lee คนนี้นี่เอง
ผล งานทางด้าน hacker-เค้าเคยถูกจับได้ว่า hack รหัสผ่าน(acess code)เมื่อตอนเรียนอยู่ Oxford จึงทำให้ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย(ซะอย่างนั้น)

4.Richard Stallman
ผลงาน-ตอนที่ทำ งานอยู่ที่ MIT ในฐานะของ StaffComputer ทุกครั้งที่มีระบบอะไรใหม่ๆติดตั้งเข้าไปและมีรหัสผ่านกำกับอยู่ Stallman จะหาทางแฮกและปลดรหัสผ่านออกทุกครั้ง เสร็จแล้วก็ hack Printerต่อเพื่อพิมพ์ข้อความบอกคนอื่นๆว่าระบบไหนอยู่ที่ไหนปลดรหัสผ่านอะไร ไปแล้วบ้าง  สิ่งที่น่าสนใจ-ผู้ริเริ่มโครงการ GNU และมูลนิธิซอฟท์แวร์เสรีรวมไปถึงผู้ริเริ่มแนวคิดเรื่อง Copyleft และเป็นผู้ร่างสัญญาอนุญาตให้ใช้ได้ทั่วไป และต่อในภายหลังสัญญานี้ได้กลายเป็น บรรทัดฐานซอฟท์แวร์เสรีจำนวนมาก

ขอขอบคุณแหล่งที่มา :
http://www.coolpicturegallery.net
http://science.discovery.com
http:/www.gconfaqs.com
http://suntos.wordpress.com/2009/12/05/สุดยอดแฮกเกอร์-10-อันดับข/
http://science.discovery.com
http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X8537135/X8537135.html
http://www.soldierx.com/hdb/Dmitri-Galushkevich http://www.wikipedia.org

ฮือฮา! มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก มาไทยจริง

ร่ำลือกันตั้งแต่เมื่อคืน ถึงตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ผู้ก่อตั้งเครือข่ายสังคมสุดฮอตอย่าง "เฟซบุ๊ก" ที่ปรากฏตัวกลางซอยทองหล่อ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา เป็นตัวจริง โดยการเดินทางมาของซัคเกอร์เบิร์กในครั้งนี้เพื่อร่วมงานแต่งงานของลูกน้อง คนสนิทรายหนึ่ง ซึ่งจะเข้าพิธีแต่งงานกับสาวไทยในสัปดาห์นี้

โดย ข้อมูลเบื้องต้นบอกว่า เจ้าสาวของลูกน้อง ซัคเกอร์เบิร์ก ชื่อ "เตื้อย" วิศรา วิจิตรวาทการ เป็นบุตรีของวิวัฒน์วงศ์ วิจิตรวาทการ ผู้บริหารบริษัทในเครือล็อกซเล่ย์ จบการศึกษาด้านภาพยนตร์ในมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (New York University) อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลชื่อของคนสนิทซัคเกอร์เบิร์กที่กำลังจะเป็นเจ้า บ่าว
โดยล่าสุดมีรายงานว่า วันนี้ (29 ธ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ได้เดินทางไปร่วมพิธีรดน้ำสังข์ของเพื่อนคนสนิทดังกล่าวที่บ้านพักของหม่อม ราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในซอยสวนพลู (ซอยสาทร 3) ถนนสาทรใต้ ทั้งนี้แขกที่มาร่วมงานรายหนึ่งยืนยันว่ามาร์กมาร่วมงานจริง
ซัคเกอร์เบิร์กที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชื่อเสียงของเฟซบุ๊ก ผลงานที่ทำให้ซัคเกอร์เบิร์กสามารถร่ำรวยเงินทองจนกลายเป็นเศรษฐีที่อายุ น้อยที่สุดในขณะนี้ โดยนิตยสารฟอร์บส์ได้จัดให้ซัคเกอร์เบิร์กมีอันดับความร่ำรวยที่ 35 ก้าวกระโดดจากอันดับที่ 158 ในปี 2009 มีมูลค่าทรัพย์สินจากเดิม 4.9 พันล้านเหรียญมาเป็น 6.9 พันล้านเหรียญในปีเดียว เป็นตัวเลขที่ฮือฮาอย่างมากเพราะสูงกว่าทรัพย์สินของผู้ก่อตั้งแอปเปิล ซึ่ง สตีฟ จ็อบส์ นั้นสามารถทำได้เพียงอันดับที่ 42 ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 6.1 พันล้านเหรียญ ขณะที่นิตยสารไทม์ล่าสุดก็ยกให้เขาเป็นบุคคลแห่งปีอีกด้วย
มาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก (อังกฤษ: Mark Elliot Zuckerberg) เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 ที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกันเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก เขาร่วมก่อตั้งเฟสบุ๊กร่วมกับเพื่อนอีก 3 คน ขณะกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นิตยสารไทม์ ได้ให้เขาเป็นบุคคลแห่งปี ค.ศ. 2010

Hitech Gallery

เพราะอนาคตไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันครับ!

สำหรับใครหลายคนที่กำลังตั้งตารอ iPhone 5 โทรศัพท์มือถือตัวใหม่ล่าจาก Apple ที่พร้อมจะเปิดตัวในช่วงกลางปีนี้ เชื่อแน่ว่าหลายๆคนคงจะสงสัยกันอยู่บ้างว่าจะมีฟีเจอร์หรือฟังก์ชั่นการใช้ งานอะไรใหม่ๆมาให้สาวกค่ายนี้ได้ตื่นเต้นกันบ้าง ซึ่งเราก็คงต้องมานั่งลุ้นกันต่อไปจนถึงราวเดือนมิถุนายน - กรกฎาคมกันโน่นเลย
แต่สำหรับวันนี้ทีมงาน TechXcite ขอลองมองข้ามช็อตไปยัง iPhone 6 สำหรับปีสิ้นโลก 2012 ที่มีโอกาสสูงอยู่เหมือนกันที่จะมาพร้อมกับนวัตกรรมที่จะชวนให้หลายคนได้ อึ่งทึ่งเสียวกันไปตามๆกัน หลังบริษัท Apple ประสบความสำเร็จในการขอจดสิทธิบัตรเทคโนโลยี 3D ผ่านหน้าจอไม่ต้องง้อแว่นแบบใหม่ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับข้อดีของระบบเทคโนโลยี 3D ที่ Apple ได้รับสิทธิบัตรมานั้นก็คือคุณสามารถมองภาพแบบสามมิติได้ด้วยตาเปล่า โดยที่คราวนี้ไม่ได้เห็นแค่คุณเพียงคนเดียวแต่คนรอบข้างก็จะได้รับชมภาพใน แบบเดียวกันกับคุณนั่นแหละ (คนชอบงัดมือถือมาอวดคงเตรียมยิ้มกันได้เลย) นอกจากนี้ภาพ 3D ที่สร้างออกมานั้นก็จะสามารถมองได้จากทุกองศาอย่างแท้จริงแถมยังเปลี่ยนองศา ได้ตามทิศทางการรับชมของผู้ใช้งานอีกต่างหาก
ซึ่งรับรองได้เลยว่า Apple คงไม่ได้จดสิทธิบัตรตัวนี้เก็บไว้ใส่กรุอย่างแน่นอน เพราะด้วยศักยภาพรวมถึงรูปแบบการใช้งานของอุปกรณ์อย่าง iPhone แล้วก็น่าจะเอื้ออำนวยต่อการใช้งาน 3D ในอนาคตอยู่เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นระบบ 3D Facetime หรือการเล่นเกมส์สามมิติแบบเต็มรูปแบบบนหน้าจอ 3D Retina Display ซึ่งเราอาจมีโอกาสได้เห็นฟีเจอร์ 3D แบบนี้ใน iPhone 6, iPad 3 หรือแม้กระทั่ง iPod Touch รุ่นต่อๆไปก็เป็นได้


ออฟฟิศของ facebook ที่ไม่ธรรมดา

หลังจากทางทีมงานนำเรื่องของออฟฟิศ ของเว็บไซต์ ชั้นนำมาได้ชมกัน ล่าสุดเลยจับมาอีก 1 สถานที่ ใช่แล้ว ก็สำนักงานใหญ่ของ facebook ของ ซึ่งเป็น Social Network ที่ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้  คนใช้เยอะขนาดนี้ ออฟฟิศของ facebook จะธรรมดาคงไม่ได้ เราลองไปสำรวจกัน
สำนักงานใหญ่ของ facebook อยู่ใน พาโล อัลโต, แคลิฟอร์เนีย (Palo Alto, California) ซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของ Studio O+A  พื้นที่ของสำนักงานอยู่ที่ประมาณ 150,000 ตารางฟุต โดยรองรับพนักงานกว่า 700 คน
สำนักงานแห่งนี้ สร้างขึ้นจากการปรับปรุง ห้องแลบเก่าที่ก่อสร้างตั้งแต่ยุค 1960 ทำให้มันมีความเก๋ของกลิ่นอายเฟอร์นิเจอร์เดิมๆ ชิ้นส่วนต่างๆจาก แลบเก่าซึ่งทางทีมงานออกแบบนำมันมาใช้ตกแต่งด้วย
มีห้องนั่งเล่น ห้องครัวและคาเฟต์เปิดตลอด 24 ชั่วโมง !! นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มและขนม นม เนยอยู่ที่ ห้องครัวย่อยๆ (micro-kitchens)ที่กระจายทั่วสำนักงานอีกด้วย
เป็นไงบ้างได้ลองดู   แล้วเอามาเปรียบเทียบกับ ออฟฟิศ google, ออฟฟิศลับใต้ดินของ Wikileaks 

พาไปชมออฟฟิศลับใต้ดินของ Wikileaks

ทัวร์ออฟฟิศกูเกิล (+คลิป)





Hitech Gallery

รายการบล็อกของฉัน